วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ด่วนที่สุด


หนึ่งเสียงของคุณมีค่า ทุก ๆ วัน ไม่ใช่เฉพาะวันเลือกตั้งเท่านั้น
คลิกที่นี่

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สายการบิน พีบีแอร์


ตารางการบิน จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (กรุงเทพฯ) เข้าสู่ ลำปาง คลิกที่นี่

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เด็กอัจฉริยะต้องมี 6 Q

ผศ.ธีระศักดิ์ กำบรรณรักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน AQ (Adversity Quotient) และ EQ (Emotional Quotient) เปิดเผยว่า จากการวิจัยพบว่า

ความสำเร็จของชีวิตมนุษย์ยุคนี้ ไม่ใช่ว่าจะมีเฉพาะเชาว์ปัญญาหรือ IQ (Intelligence Quotient) และ เชาว์ทางอารมณ์ หรือ EQ (Emotion Quotient) เท่านั้น แต่จะต้องมี 6 Q ได้แก่

1. เชาว์ปัญญา หรือ IQ (Intelligence Quotient)

2. เชาว์ทางอารมณ์ หรือ EQ (Emotion Quotient)

3. เชาว์ความอึด หรือ ความสามารถในการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส หรือ AQ (Adversity Quotient

4. เชาว์ด้านจริยธรรม หรือ MQ (Moral Quotient) ที่ต้องอาศัยวุฒิภาวะ และมีแบบอย่างที่ดีในการเรียนรู้เพื่อเกิดการพัฒนา

5. เชาว์สุขภาพ หรือ HQ (Health Quotient) ที่สร้างความเข็งแรง ซึ่งเป็นอัจฉริยภาพสำคัญที่จำเป็นต้องดูแล เพราะไม่มีสิ่งทดแทนได้

6. เชาว์ด้านจิตวิญญาณ หรือ SQ (Spiritual Quotient) เป็น อัจฉริยภาพสูงสุดที่พัฒนาจิตวิญญาณ เพื่อเตรียม พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ที่เป็นการพัฒนาความสมดุลให้กับชีวิต เข้าใจตัวเองและใช้สมองทุกส่วนในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนา 6Q เป็น การสร้างความสำเร็จและความสุขในการดำรงชีวิต ซึ่งปัจจุบันสถาบันการศึกษาของไทยให้ความสนใจและศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างมาก เพราะการสร้างคนเก่งที่เป็นคนดี มีสุขภาพแข็งแรง สามารถใช้ศักยภาพทุกด้านในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าและปราศจากปัญหา ความวุ่นวายทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมได้ผศ.ธีระศักดิ์ กล่าว.

เมื่อเด็กก้าวร้าว

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อัจฉริยะสร้างได้


อัจฉริยะสร้างได้ วิทยาการใหม่ฝึกสมอง

"สมองของคนเรามีเซลล์สมองเท่ากับไอน์สไตน์ ดังนั้น ไอน์สไตน์ฉลาดได้เท่าไหน โดยทฤษฎีแล้วเราก็ฉลาดได้เท่านั้น"

ข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือที่ชื่อว่า "อัจฉริยะสร้างได้" ที่เขียนโดย "วนิษา เรซ" คน ไทยเพียงคนเดียวที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทเกียรตินิยมด้านวิทยาการทาง สมอง จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัจฉริยภาพ

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำ "อัจฉริยภาพ" ว่า ความเป็นผู้มีปัญญาความสามารถเกินกว่าระดับปกติมาก

เป็นเหตุให้ใครหลายๆ คนคิดว่าการจะเป็นอัจฉริยภาพนั้นยากเกินกำลัง แต่ วนิษาบอกว่า คนทุกคนมีความเป็นอัจฉริยภาพอยู่ในตัวอย่างน้อย 8 ด้าน เพียงแค่ว่าจะหาเจอช้าหรือเร็วเท่านั้น

วนิ ษาเล่าให้ฟังว่า ในอดีตก่อนที่งานวิจัยทางสมองจะก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบัน คนมักมีความเชื่อว่า ความฉลาดเป็นสิ่งที่เรามีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ใครเกิดมาด้วยไอคิวเท่าไร ก็จะจากโลกนี้ไปด้วยไอคิวเท่านั้น ระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงใดๆ

เมื่อเวลาผ่านไปนักวิจัยได้วิจัย สมองด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย พบว่าสมองของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน แม้ในผู้สูงอายุยังมีการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้สิ่งใหม่ และมีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าความฉลาดเป็นสิ่งตายตัวจึงกลายเป็นความคิดที่ล้าหลัง

จากนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพหลายท่าน ก็ได้คิดค้นทฤษฎีและวิธีการต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพสมอง และพัฒนาอัจฉริยภาพสำหรับบุคคล

วนิ ษาเล่าย้อนให้ฟังถึงสาเหตุที่เลือกเรียนปริญญาโทด้านสมองว่า เริ่มจากเมื่อตอนที่เรียนปริญญาตรี เลือกเรียนด้านการศึกษาและครอบครัว เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทุกคนในโลกนี้ เรียนแล้วพบว่ามันสามารถใช้ได้จริงกับทุกคน พอจะต่อปริญญาโทจึงตั้งโจทย์ให้กับตัวเองว่า จะต้องเกี่ยวกับทุกคนในโลก และเกี่ยวข้องกับด้านการพัฒนาคน

สิ่งที่ตั้งโจทย์นำไปสู่คำว่า "สมอง" เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากสมอง และสมองเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคน

ที่ สำคัญเธออยากรู้ว่าคนเราต้องทำอย่างไรถึงจะฉลาด เป็นอัจฉริยะได้โดยที่ยังสามารถใช้ชีวิตได้แบบเดินทางสายกลางอย่างมีความสุข ไม่ต้องเรียนแบบหักโหม

พอศึกษาไปก็เจอ "ทฤษฎีพหุปัญญา" ของ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ทฤษฎีที่สอนด้านสมอง ที่ไม่ใช่การผ่าตัด แต่เป็นการเรียนรู้ว่า สมองคืออะไร สมองทำงานอย่างไร และรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรถึงจะใช้สมองได้อย่างคุ้มค่าและมีศักยภาพที่สุด


ซึ่งทั่วโลกมีเพียงที่มหาวิทยาลัยฮาร์ดวาร์ดแห่งเดียวที่สอนด้านสมองทฤษฎี พหุปัญญา เป็นทฤษฎีที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงและยอมรับกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน โดยทฤษฎีนี้ค้านกับความเชื่อเดิมที่บอกว่า อัจฉริยภาพมีเพียงด้านคณิตศาสตร์และภาษาเท่านั้น แต่ยืนยันว่า...

" อัจฉริยภาพของคนเรามีอย่างน้อย 8 ด้าน ประกอบด้วย ด้านภาษาและการสื่อสาร, ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว, ด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ, ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์, ด้านการเข้าใจตนเอง, ด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น, ด้านการเข้าใจธรรมชาติ และด้านดนตรีและจังหวะ"



ถึงตอนนี้หลายคนคงสงสัยกันแล้วว่า อัจฉริยภาพสร้างได้จริงหรือ? และสามารถสร้างได้อย่างไร?



วนิษา บอกว่า คนเราสามารถสร้างความเป็นอัจฉริยภาพในตัวเองได้ เพราะความเป็นอัจฉริยภาพนั้นเกิดจากการมีเส้นใยสมอง ซึ่งสมองมีการสร้างเส้นใยสมองอยู่ตลอดเวลา และบวกกับการที่คนเรามีความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้เพิ่มเติมได้

การ พัฒนาความเป็นอัจฉริยภาพของเรานั้นอันดับแรกต้องดูว่าเราชอบอะไร ต้องการเป็นอัจฉริยะด้านไหน และต้นทุนในการพัฒนาสูงแค่ไหน แต่ความเป็นอัจฉริยะจะต้องเกิดจากการฝึกฝนด้วย ถ้าไม่ฝึกไม่ลองทำก็ ไม่รู้ว่าเรามีอัจฉริยภาพด้านนั้นๆ อยู่ในตัว เพราะฉะนั้น เราควรที่จะหาเวลาและพื้นที่ว่างในการทดสอบและฝึกฝนตัวเองให้เป็นอัจฉริยะ

"นั่นคือ ในการค้นหาอัจฉริยภาพในตัวเองนั้นจะต้องมีการทดลองทำ และฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ โดยเริ่มจากสิ่งง่ายๆ ที่อยู่รอบตัวเราก่อน"




ส่วน คนที่มักบอกว่าหาตัวเองไม่เจอนั้น วนิษาบอกว่า คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีเวลาให้ตัวเอง ไม่เคยหยุดคิดและฟังตัวเองว่าต้องการอะไร ชอบอะไร ซึ่งการสำรวจตัว เองตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง ที่หมายถึงการกำหนดว่าจะเอาพลังที่เรามีอยู่ไปใช้ได้อย่างไรบ้าง และหากมีอัจฉริยภาพด้านนี้แล้วความเป็นอัจฉริยภาพด้านอื่นๆ ก็จะตามมาในไม่ช้า

อย่างลีโอนาร์โด ดาร์วินชี่ เป็นทั้งนัก ศิลปะและนักวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงในเวลาเดียวกัน เขามีความสามารถและพรสวรรค์ทั้งสองอย่างในตัวเอง และสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน และขณะเดียวกันก็ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งอื่นๆ ที่แตกต่างด้วย

วนิษา บอกว่า จากการที่เธอได้ทำการศึกษาเรื่องสมองอย่างจริงจังทำให้พบว่า คนในปัจจุบันขาดการดูแลสมองเป็นอย่างมาก ไม่สนใจและไม่บำรุงสมองเลย ที่สำคัญคนเราคิดว่าการดูแลสมองเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องไปหาหมออย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วการ ดูแลสมองนั้นไม่ยากเลยทำได้ง่ายๆ เพียงแค่การกินอาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น พืชผัก ข้าวซ้อมมือ การดื่มน้ำมากๆ การออกกำลังกายเบาๆ เป็นประจำ หรือแม้กระทั่งการพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งการฝึกกระบวนการคิดที่เป็นระบบ เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการดูแลสมองอย่างง่ายๆ

เรื่องการฝึก สมองให้เป็นระบบ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการฝึกด้านไหน ซึ่งฝึกได้หลายชนิดมาก เพราะทุกอย่างที่เราทำจะเกี่ยวข้องกับสมองหมดเลย จึงไม่มีสูตรสำเร็จว่าจะฝึกสมองอย่างไรสมองถึงจะดี



คนเรามีความถนัดแตกต่างกัน สมองก็แตกต่างกันด้วย เช่น สมองของนักบัญชีก็ไม่เหมือนสมองของนักจัดสวน เนื่องจากสมองเป็นตัวรับรู้ เป็นตัวประมวลผล และสั่งให้เราทำ

ที่สำคัญสมองเป็นอวัยวะที่ยืดหยุ่นมากแล้วแต่ว่าเราจะทำอะไรกับสมอง เช่นการรู้จักจัดการสมองตนเองเมื่อเกิดความเครียด

" สมองของคนเราเมื่อมีความเครียดจะหลั่งสารคอร์ดิซอร์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้สมองไม่มีการคิด ทำให้คิดไม่ออก เป็นผลให้ข้อมูลต่างๆ ออกมาไม่ได้ เป็นสารเคมีเป็นพิษต่อสมอง แต่สารนี้จะสามารถสลายไปเมื่อมีสารเอ็นดอร์ฟิน เพราะสารเอ็นดอร์ฟินนี้เป็นสารที่มีความสุข เมื่อเราทำสิ่งที่ชอบจะมีการหลั่งสารนี้ออกมา ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
ขณะเดียวกันความเครียดนั้นก็มีข้อดีอยู่บ้าง ถ้ามีความเครียดในระดับที่เหมาะสมจะสามารถบังคับตนเองให้ทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งได้สำเร็จ"
วนิษาสรุป

ฉะนั้น ยิ่งค้นพบความเป็นอัจฉริยะเร็วเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเราเท่านั้น เพราะแม้จะมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่หากขาดการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องความเป็นอัจฉริยภาพก็มิอาจเปล่งประกายออก สู่สายตาผู้อื่นได้


++ วิธีค้นหาความเป็นอัจฉริยะ คลิกที่นี่

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สัตว์ป่าสงวน 15 ชนิด

สัตว์ป่าสงวน
(ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535)

01.jpg (7510 bytes)

นกแต้วแล้วท้องดำ
(Pitta gurney)

อาศัยอยู่เฉพาะในป่าดิบราบต่ำ ทำรังอยู่บนกอระกำและกอหวาย ชอบกินใส้เดือนเป็นอาหาร ปัจจุบันพบแห่งเดียวในโลกที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาประ-บางคราม จ.กระบี่ คาดว่ามีหลงเหลืออยู่ไม่เกิน 100 ตัวเท่านั้น

02.jpg (6135 bytes)

กระซู่
(Didemocerus sumatraensis)

เป็นแรดพันธุ์เล็กที่สุดในจำนวนแรด 5 ชนิดของโลก มี 2 นอ ชอบกินกิ่งไม้ ใบไม้ และผลไม้เป็นอาหาร เป็นสัตว์ที่หายากมาก ปัจจุบันพบในบริเวณป่าทึบ ตามแนวพรมแดนไทย-พม่า และชายแดนไทย-มาเลเซีย
03.jpg (6749 bytes) แมวลายหินอ่อน
(Pardofelis marmorata)

เป็นแมวป่าขนาดกลาง อาศัยอยู่ในป่าดงดิบและป่าดิบชื้น ชอบอยู่บนต้นไม้ ออกหากินในเวลากลางคืน กิน หนู งู นก แมลง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเป็นอาหาร ปัจจุบันเป็นสัตว์ที่หายากมาก

04.jpg (5976 bytes)

กวางผา
(Naemorhedus griseus)

มีลักษณะคล้ายแพะ พบบริเวณยอดเขาสูงชัน สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 1000 เมตร และมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี กินพืชที่อยู่ตามสันเขาและหน้าผาหินเป็นอาหาร ปัจจุบันคงเหลืออยู่จำนวนน้อย พบบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า แม่ตื่น จ.ตาก
05.jpg (6066 bytes) นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
(Pseudochelidon sirintarae)

เป็นนกนางแอ่นชนิดหนึ่งที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก คือที่ประเทศไทย พบเมื่อ พ.ศ. 2511 ที่บริเวณบึงบรเพ็ด จ. นครสวรรค์ ชอบเกาะนอนอยู่ในพงหญ้า โฉบจับแมลงกินเป็นอาหาร ปัจจุบันเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว

06.jpg (6408 bytes)

กูปรี
(Bos sauveii)

เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับกระทิงและวัวแดง ชาวลาวเรียกว่า วัวเขาเกลียว ชาวเขมรเรียกว่า กูปรีหรือโคไพร ลักษณะพิเศษของมันคือ ตัวผู้เมื่อโตเต็มวัยจะมีปลายเขาแตกเป็นพู่ ส่วนตัวเมียเขาเป็นวงเกลียว ชอบกินหญ้าและใบไม้เป็นอาหาร พบในประเทศไทย ลาว เขมร และเวียตนามเท่านั้น
07.jpg (5995 bytes) ละองหรือละมั่ง
(Cervus eldi)

ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ ออกหากินทั้งกลางวันและกลางคืน กินใบไม้ใบหญ้า และผลไม้เป็นอาหาร ปัจจุบันไม่พบในประเทศไทย แต่ยังมีหลงเหลืออยู่บริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชา แถบเทือกเขาพนมดงรัก และชายแดนไทย-พม่า แถบเทือกเขาตะนาวศรี เท่านั้น

08.jpg (5551 bytes)

เก้งหม้อ
(Muntiacus feai)

เป็นเก้งที่มีสีคล้ำกว่าเก้งธรรมดา ชอบอาศัยอยู่เดี่ยวๆ ในป่าดงดิบตามลาดเขา จะอยู่เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น กินหญ้า ใบไม้และผลไม้เป็นอาหาร พบบริเวณชายแดนไทย-พม่า และภาคใต้ของไทย เป็นสัตว์ที่หายาก
09.jpg (6794 bytes) นกกระเรียน
(Grus antigone sharpii)

จัดอยู่ในตระกูลนกบินได้ขนาดใหญ่ที่สุด สูงประมาณ 150 ซ.ม. พบตามหนอง บึง และท้องทุ่ง หากินเป็นคู่และกลุ่มครอบครัว กินแมลง สัตว์น้ำ สัตว์เลื้อนคล่น พืชน้ำและเมล็ดพืชเป็นอาหาร ปัจจุบันไม่พบในประเทศไทย

10.jpg (5994 bytes)

สมเสร็จ
(Tapirus indicus)

เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน มีจมูกเหมือนงวงช้าง รูปร่างเหมือนหมู และมีเท้าเหมือนแรด จึงมีชื่อเรียกว่า ผสมเสร็จหรือสมเสร็จ มักหากินตามที่รกทึบ พบที่บริเวณป่าชายแดนไทย-พม่า ตลอดลงไปจนถึงภาคใต้ของไทย

11.jpg (5943 bytes)

พะยูน
(Dugong dugon)

เป็นสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม ชอบอยู่รวมเป็นฝูง กินหญ้าทะเลตามบริเวณน้ำตื้นเป็นอาหาร ปัจจุบันเป็นสัตว์หายาก พบอยู่ประมาณ 40-50 ตัว ที่บริเวณเกาะลิบง และหาดเจ้าไหม จ. ตรัง เท่านั้น
12.jpg (6120 bytes) ควายป่า
(Bubalus bubalis)

มีขนาดลำตัวใหญ่กว่าควายบ้าน ชอบอาศัยอยู่รวมเป็นฝูง กินใบไม้ หญ้า หน่อไม่เป็นอาหาร ปัจจุบันพบบรอเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ. อุทัยธานี เท่านั้น

13.jpg (6439 bytes)

แรด
(Rhinoceros sondaicus)

มีนอเดียว อาหารของมันคือยอดไม้ ใบไม้ ผลไม้ อาศัยอยู่ในป่าทึบ โดยเฉพาะแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ เคยพบบริเวณป่าชายแดนไทย-พม่า ลงไปทางภาคใต้ของไทย ปัจจุบันไม่พบเห็นในประเทศไทย
14.jpg (4973 bytes) สมัน
(Cervus schoburgki)

เป็นกวางขนาดกลาง เรียกอีกชื่อว่า กวางเขาสุ่ม เป็นกวางที่มีเขาสวยงามที่สุด ชอบกินยอดหญ้าอ่อน ผลไม้และใบไม้เป็นอาหาร อยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ เคยมีเฉพาะในทุ่งโล่งภาคกลางของประเทศไทย โดยเฉพาะทุ่งรังสิต สูญพันธุ์ไปประมาณ 60 ปีมาแล้ว

15.jpg (5650 bytes)

เลียงผา
(Capricornis sumatraensis)

เป็นสัตว์กีบคู่เขาจำพวกแพะ อาศัยอยู่ตามภูเขาที่มีหน้าผาหรือถ้ำ เคลื่อนไหวในที่สูงชันได้ปราดเปรียว ว่องไว กินพืชที่ขึ้นอยู่ตามที่สูงเป็นอาหาร ถูกล่ามาทำน้ำมันเลียงผา (ยา) เป็นจำนวนมาก

สัตว์ป่าคุ้มครอง 15 ชนิด

สัตว์ป่าคุ้มครอง
(ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535)

08.jpg (7210 bytes)

ลิงลมหรือนางอาย
( Nycticebus coucang )

เป็นลิงที่มีขนาดเล็ก ขนนุ่ม สั้นและหนาเป็นปุยสีขาวนวล และมีสีน้ำตาลเข้ม คาดจากหัวไปตลอดแนวสันหลัง หน้าสั้น ตากลมโต ใบหูเล็ก ออกหากินในเวลากลางคืน อาหารของลิงลมได้แก่ แมลงเล็กๆ ไข่นก ผลไม้ มีถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณเขาหิมาลัย พม่า และในประเทศไทย พบทุกภาคของประเทศ
09.jpg (5968 bytes) หมีหมา
( Helarctor malaynus )

มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเซีย จัดเป็นหมีขนาดเล็กที่สุดในโลก ขนตามลำตัวเป็นสีดำ ใต้คอมีแถบสีเหลืองรูปตัวยู เมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีขาว บริเวณหน้าตั้งแต่ตาจนถึงปลายจมูกสีค่อนข้างขาว ชอบอยู่เป็นคู่ และออกหากินในเวลากลางคืน อาหารของหมีหมาคือ น้ำผึ้ง และแมลงต่างๆ ใบไม้ และเนื้ออ่อนของคอมะพร้าว

10.jpg (6543 bytes)

วัวแดง
( Bos javanicus )

มีรูปร่างและสีสันคล้ายวัวบ้าน แต่จะสูงใหญ่กว่า วัวแดงเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งมีราว 20-35 ตัว อาศัยอยู่ในป่าดงดิบ ออกหากินในเวลากลางคืนและเช้าตรู่ ชอบกินหญ้าอ่อนหรือหญ้าระบัดเป็นอาาหร วัวแดงอาศัยอยู่ในประเทศไทย อินโดนีเซีย และพม่า
11.jpg (6016 bytes) ช้างป่าหรือช้างเอเซีย
( Elephas maximus )

มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเซีย เช่น ไทย อินเดีย มาเลเซีย ขนาดลำตัวสูงประมาณ 2.8 เมตร หูมีขนาดเล็กเพียง 1 ส่วน 3 ของช้างแอฟริกา อาศัยอยู่ในป่าทึบที่มีอากาศเย็น มีน้ำอุดมสมบรูณ์ ช้างผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุราว 8-12 ปี ตกลูกครั้งละ 1 ตัว และมีอายุยืนใกล้เคียงกับคนคือราว 70 ปี

12.jpg (5782 bytes)

หมีขอหรือบินตุรง
( Arctictis binturong )

มีลักษณะคล้ายหมี แต่ต่างจากหมีคือ มีหางยาวใช้เกาะกิ่งไม้แทนการใช้แขน หมีขอเป็นสัตว์จำพวกชะมดและอัเห็นขนาดใหญ่ ขนตามลำตัวมีสีดำ หนวดสีขาว ออกหากินในเวลากลางคืน กินทั้งสัตว์ พืชและผลไม้เป็นอาหาร เช่น หนู นก ผลไม้ป่าต่างๆ แหล้งอาศัยอยู่ในทวีปเอเซีย ในประเทศไทยพบตามป่าดงดิบทางภาคใต้
13.jpg (6026 bytes) กระทิง
( Bos gaurus )

มีขนตามลำตัวสั้นๆ สีดำ ขาสีขาวนวลคล้ายสวมถุงเท้า โคนเขาสีเหลือง ปลายเขาดำ อาศัยอยู่ตามป่าดงดิบที่อยู่ห่างไกล กินดินโปร่ง หญ้า หน่อไม้ ฯลฯ พบในทวีปเอเซีย ในประเทศไทยมี 2 พันธุ์ คือพันธุ์พม่า พบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กับพันธุ์มลายู พบทางภาคใต้ของประเทศไทย

14.jpg (5362 bytes)

อีเก้งหรือฟาง
( Muntiacus muntjak )

เก้งเป็นกวางขนาดเล็ก ตัวผู้มีเขาสั้น ลำตัวสีน้ำตาลแดง ตัวผู้มีเขี้ยวยื่นออกมานอกริมปาก ใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้และป้องกันตัว ชอบอยู่ลำพัง และอยู่เป็นคู่ในฤดูผสมพันธุ์ คือ ช่วงหน้าหนาว เก้งชอบกินใบไม้ หญ้า ลูกไม้ป่า เก้งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเซีย และพบอยู่ทุกภาคของประเทศไทย
15.jpg (7173 bytes) แมวดาว
( Felis bengalensis )

เป็นสัตว์กินเนื้อที่มีลักษณธคล้ายแมวบ้าน แต่มีรูปร่างปราดเปรียวกว่า ลำตัวสีน้ำตาลแกมเหลือง หูค่อนข้างยาว มันจะออกหากินในเวลากลางคืน อาหารของแมวดาว ได้แก่ นก หนู กระรอก เป้ด ไก่ พบมากตั้งแต่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหภาพโซเวียต จิน อินโดนีเซีย และอินเดีย และทุกภาคของประเทศไทย

01.jpg (5812 bytes)

ลิ่มหรือนิ่ม
( Manis javanica)

เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่คล้ายคลึงกับสัตว์เลื้อยคลาน ลำตัวปกคลุมด้วยเกร็ดแข็งคล้ายปลา ปากเป็นช่องเล็กๆ มีลิ้นเป็นเส้นยาว อาศัยอยู่ตามป่าโปร่ง ออกหากินตามพื้นดินในเวลากลางคืน และจะหลับในโพรงดิน เวลานอนจะขดม้วนตัวกลม อาหารที่ชอบได้แก่ มด และปลวก พบเห็นได้ในทุกภาคของประเทศไทย
02.jpg (6141 bytes) หมีควายหรือหมีดำ
( Selenarctos thibetanus )

เป็นหมีขนาดใหญ่ของไทย ลำตัวมีขนหยาบสีดำ ใต้คอมีขนสีขาวรูปตัววี ปลายจมูกค่อนข้างดำ ปากยาว หางสั้น และหูใหญ่ ออกหากินตอนกลางคืน กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร เช่น แมลง ใบไม้ และลูกไม้ต่างๆ มหีควายมีนิสัยดุร้ายและชอบการต่อสู้ ปกติจะอยู่ตามลำพังหรืออยู่กันเพียง 2-3 ตัวเท่านั้น

03.jpg (7034 bytes)

เสือโคร่ง
( Panthera tigers)

เป็นเสือขนาดใหญ่ที่สุดในสัตว์จำพวกแมว ตัวสีเหลืองส้ม ลายพาดเป็นริ้วสีดำ หางลายดำเป็นปล้อง สามารถขึ้นต้นไม้และลงว่ายน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว ออกหากินลำพังในเวลาพลบค่ำและกลางคืน ถิ่นอาศัยของเสือโคร่ง พบในไซบีเรีย จนถึงทะเลสาบแคสเปี้ยน อินเดีย จีน มาเลเซีย ฯลฯ และพบในทุกภาคของประเทศไทย
04.jpg (5973 bytes) กวางป่า
( Cervus unicolar )

กวางป่าเป็นกวางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ออกหากินหญ้า ลูกไม้ป่า และหน่อไม้ ในตอนกลางคืน กวางป่าจะผสมพันธ์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม ตั้งท้องนานประมาณ 8 เดือน ตกลูกครั้งละ 1 ตัว กวางป่ามีอายุยืนประมาณ 15-20 ปี พบเกือบทุกภาคในประเทศไทย

05.jpg (7498 bytes)

ค่างแว่น
( Presbytis phayrei )

ลำตัวของค่างแว่นด้านหลังมีสีน้ำตาลหรือเทา หน้ามีสีดำหรือเทา ที่ขอบตาจะมีสีเขียวอมฟ้าขาว ขาหลังและหางมีสีเดียวกับแผ่นหลัง ค่างแว่นอาศัยอยู่บนต้นไม้สูงตามถูเขาและป่าไม้ ค่างแว่นมักจะอยู่บนต้นไม้มากกว่าลงมายังพื้นดิน ค่างแว่นพบมากในเอเซีย ได้แก่ จีน พม่า อินโดนีเซีย และประเทศไทย
06.jpg (8399 bytes) เสือดาว
( Panthera pardus )

เป็นสัตว์ที่มีประสาทหู ตา ว่องไว และซ่อนตัวเก่ง หนังเสือดาวจะมีสีเหลืองปนน้ำตาล มีลายจุดสีดำเต็มตัว เป็นลอยขยุ้มตีนหมา เสือดาวอาศัยอยู่ในป่าลึก ตามโพรงไม้หนาบนภูเขาหิน หรือที่ที่มันสามรถหลบซ่อนได้ เสือดาวเป็นสัตว์ที่ปีนต้นไม้ได้เหมือนแมว มันจะออกลูกครั้งละ 2-3 ตัว หรืออาจมากกว่าถึง 5 ตัว

07.jpg (5537 bytes)

เนื้อทราย
( Cervus porcinus )

เป็นกวางขนาดเล็กเท่าอีเก้ง เขาของมันคล้ายกับเขากวางป่าแต่เล็กกว่า เนื้อทรายชอบอยู่เป็นฝูงเล็กๆ ตามทุ่งหญ้าริมหนอง บึง ออกหากินในตอนเช้าและค่ำ ในประเทศไทยได้สูญพันธ์ไปแล้ว ส่วนที่พบเห็นในสวนสัตว์จะมาจากพม่า ปัจจุบันเนื้อทรายถูกพบที่ประเทศอินโดนีเซีย ศรีลังกา จีนตอนใต้ พม่า ลาว ฯลฯ

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คำไทยทับศัพท์ภาษาอังกฤษ


เรื่องขำๆ


ชั่วโมงวิทยาศาสตร์

นักเรียน : "อาจารย์ครับ เราจะทราบได้อย่างไรว่า สมมุติเราไปเก็บเห็ดในป่า ทำอย่างไรเราจะรู้ว่าเห็ดชนิดไหนมีพิษรับประทานไม่ได้ เห็ดชนิดไหนไม่มีพิษ รับประทานได้ครับ
อาจารย์ : (ทำตาลอยนึกตั้งนาน) " เอ่อ... ไม่เห็นจะยาก วิธีพิสูจน์ คือ ให้เรานำเห็ดที่ต้องการจะพิสูจน์นำมาทำเป็นอาหารเย็น ทานแล้วก็ไปนอน ทีนี้เช้ารุ่งขึ้น ถ้าเรายังตื่นอยู่แสดงว่าเห็ดนั้นไม่มีพิษ แต่ถ้าไม่ตื่นอีกเลย แปลว่าเห็ดมีพิษ รับประทานไม่ได้ ง่ายนิดเดียว "
นักเรียน : !!!???!!!??? ่ ขำขันเรื่องนี้มีคติธรรมอะไรสอนใจ หรือ ีมีแง่คิดอะไรดี ๆ ่ขอเชิญเพื่อน ๆ ชาวพุทธ มาช่วยกันแสดง

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เชื่อหรือไม่ แมวมีปีก



วิทยาศาสตร์น่ารู้ อีกมากมาย สนใจคลิกที่แมวมีปีก

ต้นกำเนิดของเว็บไซต์ กูเกิล ( www.google.com)



ทำความรู้ัจักกับ www.google.com คลิกที่รูป

ต้นกำเนิดกูเกิล

กูเกิลเริ่มก่อตั้งเมื่อ มกราคม พ.ศ. 2539 จากโครงงานวิจัยสำหรับดุษฎีนิพนธ์ของ แลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน นักศึกษามหาวิทยาลัยปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด[5] จากสมมุติฐานของเสิร์ชเอนจินที่สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของของเว็บไซต์ มาจัดอันดับการค้นหาที่เรียกว่าเพจแรงก์ โดยชื่อเสิร์ชเอนจินที่ตั้งมาในตอนนั้นชื่อว่า "แบ็กรับ" (BackRub) ตามความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลการลิงก์ย้อนกลับไป (back links) เพื่อวิเคราะห์ความสำคัญของแต่ละเว็บไซต์[6] โดยเว็บไซต์ที่มีเว็บไซต์อื่นลิงก์เข้ามาหามากที่สุด จะเป็นเว็บไซต์ที่มีความสำคัญสูงสุด และจะถูกจัดอันดับไว้ดีกว่า โดยทั้งคู่ได้ทดสอบเสิร์ชเอนจิน โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ของมหาวิทยาลัยสแตนพอร์ดในชื่อโดเมนว่า google.stanford.edu[7] และต่อมาได้จดทะเบียนบริษัทกูเกิล (Google Inc.) ในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2541 โดยใช้โรงจอดรถของเพื่อนที่เมืองเมนโรพาร์กเป็นสำนักงาน[1] โดยในขณะนั้นมีพนักงาน 4 คนซึ่งรวมบรินและเพจ และชื่อโดเมน google.com ได้ถูกจดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 กันยายน ในขณะเดียวกันทั้งคู่ได้ลาพักการเรียน และใช้เวลาในการพัฒนาหาเงินทุนพัฒนาจากครอบครัว เพื่อนฝูง และนักลงทุน เป็นจำนวนเงินกว่า 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเช็กเงินจาก แอนดี เบกโทลไชม์ ผู้ก่อตั้งซันไมโครซิสเต็มส์[5]

ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2542 บริษัทได้ย้ายไปยังเมืองแพโลอัลโทที่ตั้งของบริษัทคอมพิวเตอร์หลายแห่ง ซึ่งต่อมากูเกิลได้ย้ายบริษัทอีกครั้งไปยังเมืองเมาน์เทนวิว ไปยังสำนักงานใหม่ในชื่อเล่นว่ากูเกิลเพล็กซ์ ซึ่งในปี 2543 กูเกิลได้เปิดธุรกิจในส่วนโฆษณาในชื่อ แอดเวิรดส์ และ แอดเซนส์ โดยเป็นการโฆษณาผ่านคำค้นหา ซึ่งทำให้ข้อความโฆษณาตรงกับความต้องการของผู้ค้นหาเนื้อหาในเว็บไซต์ และสองส่วนนี้กลายมาเป็นธุรกิจหลักของกูเกิลร่วมกับตัวเสิร์ชเอนจิน

เดือนพฤษภาคม 2543 กูเกิลได้มีผู้ใช้งานค้นหาคำมากกว่า 18 ล้านคำต่อวัน ซึ่งกลายมาเป็นเซิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งของโลก และในเดือนมีนาคม 2544 เอริก ชมิดต์ อดีตผู้บริหารบริษัทโนเวลล์ และผู้บริหารระดับสูงของซันไมโครซิสเต็มส์ได้เข้ามาร่วมงานกับกูเกิลในตำแหน่งประธานบริหาร