วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

บ้านของมายมิ้น: เพศศึกษา เรื่องสำคัญที่พ่อแม่ต้องสอนลูก

บ้านของมายมิ้น: เพศศึกษา เรื่องสำคัญที่พ่อแม่ต้องสอนลูก

เพศศึกษา เรื่องสำคัญที่พ่อแม่ต้องสอนลูก


โดยหัวข้อสำคัญที่พ่อแม่ควรยึดเป็นหลักในการสอนลูกนั้นได้แก่

…การรู้จักและรู้เท่าทันเพศของตนเองในช่วงวัยต่าง ๆ ไม่ควรให้เด็กรู้สึกว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องที่ลึกลับเพราะยิ่งจะเป็นการ กระตุ้นลูกซึ่งอาจอยากรู้อยากเห็นไปในทางที่ผิดได้ ในช่วงเด็กปฐมวัยนั้นพ่อแม่ควรสอนให้เด็กรู้ว่าตนเองนั้นเป็นเพศหญิงหรือ ชาย วิธีการดูแลรักษาความสะอาดที่ถูกต้อง การไม่ไปเล่นกับอวัยวะเพศของตน ในช่วงก้าวสู่วัยรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ฮอร์โมน อารมณ์ โดยพ่ออาจเป็นผู้สอนลูกชายและแม่เป็นผู้คอยสอนลูกสาว

พ่อแม่ที่อบรมสั่งสอนและปลูกฝังความเข้าใจในเรื่องเพศให้แก่ลูกตั้งแต่วัย เยาว์ย่อมได้เปรียบในการต่อยอดการสอนต่อไปได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกเริ่มโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนต้นและวัยรุ่นตอน ปลายอันเป็นวัยอันตรายที่ลูกเริ่มมีความรู้สึกทางเพศอย่างรุนแรงต่อเพศตรง ข้าม เด็กที่พ่อแม่มีการพูดคุยทำความเข้าใจมานานก่อนหน้านี้แล้วย่อมมีความได้ เปรียบในการรับมือหรือจัดการกับอารมณ์หรือความต้องการทางเพศของตนได้ดีกว่า

…การรู้จักและการปฏิบัติตนอย่างให้เกียรติต่อเพศตรงข้าม พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักเพศที่ตรงข้ามกับตนรวมทั้งแนวทางการปฏิบัติตัวต่อ เพศตรงข้ามอย่างเหมาะสมและให้เกียรติ อาทิ สอนลูกชายไม่ให้ทำรุนแรงหรือเล่นแรง ๆ กับเด็กผู้หญิง ไม่ไป
แกล้งเปิดกระโปรงเพื่อนนักเรียนหญิง ช่วยเหลือเพศหญิงซึ่งเป็นเพศที่มีสรีระร่างกายที่อ่อนแอกว่าตนในโอกาสต่าง ๆ เช่นช่วยยกของ และสอนต่อยอดในเรื่องต่อไปตามพัฒนาการของลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นที่เริ่มมีความต้องการทางเพศ อยากอยู่ใกล้ จับไม้จับมือหรือถูกเนื้อต้องตัวในเพศตรงข้าม พ่อแม่ควรสอนลูกชายในเรื่องของการไม่เป็นคนฉวยโอกาสและให้เกียรติกับเพศตรง ข้าม ส่วนลูกสาวนั้นควรสอนให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเองเช่นกันว่าหากปล่อยเนื้อ ปล่อยตัวยอมให้เพศชายมาจับมือถือแขนกอดรัดกันอย่างง่ายดายแล้วย่อมเสี่ยงต่อ การพลาดท่าเสียทีในที่สุด

…การป้องกันระมัดระวังภัยในเรื่องเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยภัยอันตรายทางเพศในหลากหลาย รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการล่อลวงเด็กหญิงหรือเด็กชายไปค้าประเวณีกับกลุ่มคนที่มี รสนิยมชื่นชอบเด็ก การค้ามนุษย์ข้ามชาติ การล่วงละเมิดทางเพศจากบุคคลใกล้ชิด เช่น ญาติ พี่น้อง เพื่อนบ้าน ฯลฯ รวมทั้งการเปิดกว้างของสื่อกระตุ้นเร้าอารมณ์ทางเพศมากมายทีพบได้ทั่วไปและ สามารถสรรหามาครอบครองได้โดยง่าย สภาพแวดล้อมอันตรายต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้พ่อแม่ต้องหันมาตระหนักในการหาทางช่วยเหลือป้องกันภัยด้วย การหุ้มเกราะและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกของตนอย่างจริงจังเร่งด่วน อันได้แก่ การสอนให้ลูกเล็ก ๆ ได้ตระหนักในการหวงเนื้อหวงตัวไม่ยอมให้ใครก็ตามมาแตะต้องหรือสัมผัสอวัยวะ เพศของตน วิธีการร้องขอความช่วยเหลือในยามมีภัย สถานที่ใดบ้างที่ลูกไม่ควรไปเพราะมีภัยอันตรายทางเพศแฝงอยู่ การสอนในเรื่องการวางตัวต่อเพศตรงข้ามรวมทั้งการแต่งตัวอย่างเหมาะสมมิดชิด ไม่โป๊เกินงามอันนำไปสู่การยั่วยวนเพศตรงข้าม การชี้ให้เห็นถึงภัยอันตรายจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่าง ๆ ผลเสียต่อนาคตระยะยาวหากไปเที่ยวหญิงโสเภณีหรือการไปขึ้นครู ผลข้างเคียงของการเมาสุราจนขาดสติซึ่งอาจนำไปสู่กับดักหลุมพรางทางเพศได้ ควบคุมดูแลการใช้อินเทอร์เน็ต เกม หรือการรับสื่อต่าง ๆ ของลูกที่อาจมีพิษภัยทางเพศแฝงอยู่ รวมทั้งทำความรู้จักเพื่อนของลูกหรือกลุ่มเพื่อนที่ลูกคบอยู่ด้วยว่าเป็น อย่างไร เป็นต้น

ฝึกวินัยควบคู่ไปกับการสอน การสอนลูกในเรื่องเพศนั้นจำเป็นต้องควบคู่ไปกับการฝึกฝนความมีระเบียบวินัย ในชีวิตความสามารถในการบังคับตนเองรวมทั้งการฝึกฝนความเข้มแข็งในจิตใจควบ คู่ไปด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไม่สามารถแยกจากกันได้ ผู้ที่มีวินัยในการใช้ชีวิตมีความสามารถในการบังคับตนที่ดีย่อมมีความเสี่ยง ต่อปัญหาทางเพศน้อยกว่าผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างขาดวินัยและมีสภาพจิตใจที่อ่อนแอ ไม่สามารถควบคุมความต้องการของตนเองในเรื่องต่าง ๆ ได้ ไม่เพียงแต่เฉพาะในเรื่องความต้องการทางเพศเท่านั้น

การฝึกฝนความมีวินัยจำเป็นต้องเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็กจึงได้ผลดีที่สุด โดยเป็นการฝึกฝนในเรื่องของความมีระเบียบวินัยในชีวิตประจำวัน การเรียน การทำงาน รวมไปถึงการฝึกฝนความเข้มแข็งทางจิตใจความสามารถในการบังคับตนผ่านทางการอด ทน รอคอย พากเพียรพยายาม การตั้งเป้าและทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ การฝึกฝนในเรื่องของการรู้จักปฏิเสธความต้องการ ณ เวลานั้นของตน เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในอนาคตหรือการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เป็นต้น โดยพ่อแม่เป็นผู้ฝึกฝนเตือนสติด้วยวิธีการอันชาญฉลาดทั้งการมีบทลงโทษที่สม เหตุสมผลและการให้รางวัลหากทำได้สำเร็จ

สร้างสรรค์วิธีการนำเสนอ การสอนเรื่องเพศศึกษาให้กับลูกนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ผนวกกับการใช้ความ รักและความเข้าใจเป็นที่ตั้ง พ่อแม่จำเป็นต้องสร้างสรรค์เทคนิควิธีการต่าง ๆ ในการสอนลูกของตนโดยปรับเปลี่ยนไปตามวัยให้เหมาะสม รวมทั้งปรับให้เหมาะกับสไตล์หรือบุคลิกลักษณะของเด็กแต่ละคนซึ่งมีความแตก ต่างกันไป อาทิ การสอนในเด็กเล็กด้วยการใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบหรือคำอุปมาต่าง ๆ ที่สามารถเห็นภาพได้ชัดเจน โดยยึดหลักของการสื่อสารข้อเท็จจริงเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ว่าลูกถามว่าเกิดมาได้อย่างไรพ่อแม่ตอบว่ามาจากกระบอกไม้ไผ่ อันเป็นการใส่ข้อมูลที่ผิด ๆ ซึ่งจะเป็นปัญหาตามมาในอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อยอดความเข้าใจที่มาก ขึ้นเมื่อเขาเป็นวัยรุ่น หรือการสร้างความสับสนอยากรู้อยากลองเมื่อเพื่อน ๆ ให้ข้อมูลมากอีกแบบ รวมทั้งอาจถูกล่อลวงในเรื่องเพศได้ง่ายเพราะไม่ได้ระมัดระวังในการป้องกันตน เอง

การสร้างสรรค์วิธีการสอนแบบต่าง ๆ นั้นต้องยึดหลักของเป้าหมายแท้จริงระยะยาวที่เราต้องการเป็นที่ตั้ง มิเช่นนั้นแล้วเราจะให้น้ำหนักในการสอนลูกผิดไปและอาจนำไปสู่การชี้โพรงให้ กระรอกตามมาได้ อาทิ สอนเน้นย้ำอยู่แค่เรื่องวิธีการคุมกำเนิด การใส่ถุงยางอนามัยที่ถูกวิธี โดยคิดว่าเป็นเรื่องของ “สิทธิส่วนบุคคล” ในการตัดสินใจเรื่องเพศ แต่ไม่ได้สอนให้ลูกตระหนักว่าสิทธิที่เขามีนั้นต้องควบคู่ไปกับ “หน้าที่” ในการเป็นลูกที่ดี นักเรียนที่ดี ประชาชนที่ดีของประเทศชาติ รวมทั้งการรับผิดชอบและรับผลในสิ่งที่เขาตัดสินใจทำลงไป

นอกจากนี้พ่อแม่ควรสรรหาและสนับสนุนให้ลูกของตนได้ใช้เวลาว่างที่มีอยู่ อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดในการทำกิจกรรมต่าง ๆ การเล่นดนตรี กีฬา การทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ฯลฯ ไม่ปล่อยเวลาว่างใจลอยคิดแต่เรื่องของตัวเองหรือหมกมุ่นไปกับเรื่องเพศ เรื่องแฟน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่นซึ่งมีฮอร์โมนเพศสูงมีอารมณ์ทางเพศที่ รุนแรง

การสอนเพศศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่จำเป็นต้องสอนลูก ซึ่งมากไปกว่าการให้ข้อมูลความรู้ในเรื่องเพศ การป้องกันภัยทางเพศ หรือการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธีไม่ให้พลาดตั้งครรภ์เท่านั้น แต่เป็นการสอนและปลูกฝังระเบียบวินัยการสร้างลักษณะชีวิตที่ถูก ต้องรวมไปถึงการสร้างสภาพจิตใจที่เข้มแข็งในการบังคับตนเองในสามารถเอาชนะ ความอยากหรือความต้องการของตน การอดเปรี้ยวไว้กินหวานเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดเมื่อเขาเติบโตขึ้นมาใน อนาคต


5 วิธีสอนลูกให้คิดบวก


หนึ่ง – ฝึกให้ลูกคิดหลายๆ แง่มุม ยกตัวอย่างหากมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง อาจจะช่วยลูกด้วยการฝึกว่าสามารถมองได้หลายมุม มีเรื่องให้ตัดสินใจก็มีหลากหลายวิธี และพยายามอธิบายว่าการมองหลายๆ มุม หรือตัดสินใจทางใด จะมีข้อดีข้อเสียอย่างไร โดยพยายามใส่ทัศนคติที่ดี หรือวิธีคิดที่เป็นบวก เมื่อฝึกบ่อยๆ ก็จะติดตัวเขาไปด้วย

ยิ่ง ถ้าเริ่มตั้งแต่วัยเด็กเล็ก ซึ่งเป็นวัยช่างซัก ช่างถาม ต้องเปิดโอกาสให้ลูกเป็นเจ้าหนูทำไม และพ่อแม่ก็อย่าขี้เกียจตอบ พยายามตอบให้ได้มากที่สุด และคำตอบก็ควรจะเป็นลักษณะถามลูกว่าแล้วลูกคิดอย่างไร เพื่อช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ ได้คิดต่อ ที่สำคัญ บางคำถามสามารถมีหลายคำตอบได้ ก็ชวนให้ลูกคิดตาม และพ่อแม่ก็สามารถสอดแทรกความคิดเห็นของตัวเอง หรืออธิบายในสิ่งที่เหมาะสมหรือยึดหลักคุณธรรม ก็จะทําให้ลูกน้อยรู้จักคิดต่อยอด และในที่สุดลูกจะรู้จักแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยใช้เหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ และรู้จักรับฟังเหตุผลของคนอื่นอีกด้วย

การ ฝึกให้ลูกยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง จะทำให้ลูกรู้จักยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น และสามารถเผชิญกับความผิดหวัง ความคิดในด้านลบก็ไม่เกิดขึ้น ซึ่งความคิดในด้านลบจะเป็นตัวขัดขวางเจ้าความคิดสร้างสรรค์

สอง - ฝึกให้ลูกมีจินตนาการ สามารถเริ่มได้ตั้งแต่แรกเกิด วิธีที่ง่ายที่สุด พ่อแม่ควรอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ สังเกตว่าลูกใส่ใจสิ่งใดก็ควรสนับสนุนหรือพาลูกไปเรียนรู้จากของจริง และพยายามหมั่นถามว่าสิ่งที่ลูกจินตนาการคืออะไร ช่วยกระตุ้นด้วยการตั้งคำถาม อาจให้เขาถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาดก็ได้ ถ้า ฝึกลูกจากหนังสือนิทาน ก็จะนำไปสู่นิสัยรักการอ่าน และโลกแห่งการอ่านคือโลกสำคัญที่สุดของโลกจินตนาการ ในขณะที่พ่อแม่เป็นฝ่ายสนับสนุนโลกจินตนาการของลูกให้มองโลกในมุมบวก

สาม – ฝึกสร้างแรงจูงใจที่ดีให้กับลูก ให้เขาได้มีความพยายามในการคิดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำสิ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ พ่อแม่อาจตั้งเป้าหมายเล็กๆ ให้เหมาะกับวัย และเมื่อเขาสามารถทำได้ก็ให้รางวัลด้วยการโอบกอด ชื่นชม ก็จะทำให้เขารู้สึกดีที่สามารถทำได้ และจากนั้นค่อยๆ ตั้งเป้าหมายเพิ่มมากขึ้น โดยคำนึงถึงวัยและความเหมาะสมของลูกเป็นที่ตั้ง สิ่งสำคัญที่จะให้ลูกกระทำ ควรเป็นเรื่องดีๆ ที่จะช่วยซึมซับสิ่งดีๆ ให้กับลูก เช่น เมื่อลูกมีน้ำใจกับผู้อื่นก็ต้องชื่นชม และพูดคุยว่าการมีน้ำใจกับผู้อื่นจะนำไปสู่อะไรบ้าง

สี่ – ฝึกให้เผชิญปัญหาเอง อย่ากลัวว่าจะเห็นลูกผิดหวัง หรือล้มเหลว เพราะบทเรียนเล็กๆ น้อยๆ จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อลูกโตขึ้น เพียงแต่พ่อแม่คอยเป็นผู้ให้คําแนะนํา และท้ายสุดก็จะทำให้ลูกเชื่อมั่นในตนเองอีกด้วย

ห้า - เข้าใจเรื่องพัฒนาการตามวัยของเด็ก เพราะไม่ว่าคุณอยากส่งเสริมลูกเรื่องใดก็ตาม ถ้าไม่เข้าใจพัฒนาการ และลักษณะเฉพาะตัวของลูก ก็อาจกลายเป็นผิดวัตถุประสงค์ ได้ผลในทางตรงข้ามก็ได้ ฉะนั้นเรื่องพัฒนาการตามวัยเป็นเรื่องที่คนเป็นพ่อแม่ต้องแสวงหาข้อมูล และค้นหาความเป็นตัวตนของลูก เพื่อคอยเป็นคนแนะนำและสนับสนุนเรื่องวิธีการปฏิบัติตัวทั้งทางกาย วาจา ใจ ในเชิงบวก

ไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหมคะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าปราศจากความสม่ำเสมอ เพราะสิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ หล่อหลอมให้ติดตัวและมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเองและผู้อื่น ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการมีทักษะที่ดีในด้านอื่นๆ อีกด้วย

ความ คิดในเชิงบวกเป็นเรื่องจำเป็นในสังคมยุคปัจจุบัน การคิดบวกไม่ได้หมายความว่าไร้เดียงสา หรือไม่ทันคน แต่การคิดบวกหรือ การสร้างพลังบวก ช่วยส่งเสริมศักยภาพของตนเองได้มากมาย ทั้งยังสามารถแปรเปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นดีได้อีกด้วย

มาเริ่มคิดบวกตั้งแต่ในบ้านกันดีกว่าค่ะ

ปริศนาคำทายแสนสนุก


วิธีสอนคณิตศาสตร์ที่ทำให้ผู้เรียนไม่เบื่อ



วิธีการสอนคณิตศาสตร์ที่ทำให้ผู้เรียนไม่เบื่อ

เดี๋ยวนี้หากทำอะไรในสิ่งที่ดีที่งาม โดยไม่มีการปรุงแต่งคนจะไม่สนใจ ไม่เหมือนอบายมุขที่ไม่ต้องปรุงแต่งมาก คนก็วิ่งเข้าหา
การปรุงแต่งที่ทำให้คนสนใจที่นิยมกันก็คือทำให้มันสนุก ใครๆ ที่มีลูกที่ต้องเรียนหนังสือโดยเฉพาะคณิตศาสตร์
เรามีวิธีการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ให้สนุก (คล้ายๆ กับเอาเรื่ององค์กรปลา (Fish) มาประยุกต์ใช้งาน) ดังนี้

1. การสอนต้องพยายามพูดตลกๆ แทรกเป็นระยะๆ (ทอร์คโชว์)
2. บางครั้งก็พาไปสวนสัตว์ แล้วให้เด็กอธิบายโครงสร้างกรงสัตว์ เช่นสามเหลี่ยม วงกลม(เรียนจากการเที่ยว)
3. เปลี่ยนอิริยาบถไปท่องอินเทอร์เน็ต เว็บไซด์คณิตศาสตร์ ทำให้ตื่นตาตื่นใจ ลดความจำเจ (จูงใจ)
4. เขียนการ์ตูนในหนังสือคณิตศาสตร์ เช่น 2+2 = 4 ก็เขียนเป็นรูปสัตว์ 2 ตัว + อีก 2 ตัว = รูปสัตว์ 4 ตัว (ใส่ศิลปะ)
5. แต่งเพลงมาร้องกัน เช่นเพลงหาครน. เพลงสูตรคูณ เอาแบบท่องอาขยานก็ได้ ร้องพร้อมๆ กันทั้งชั้นเรียนเลย (พักผ่อน)
6. สอนโดยแต่งเกมคณิตศาสตร์ บางครั้งใช้ไพ่ประสมสิบ แต่อย่าเผลอไปเล่นพนันกัน จะเป็นบาป (แข่งขัน)
7. สอนการตีโจทย์แบบง่ายๆ เล่าเรื่องจริงในชีวิตประจำวันแล้วให้นักเรียนตอบว่า แบบไหนดี เช่นการซื้อของ การคิดกำไรขาดทุนจากการขายปาท่องโก๋ (ฝึกสมอง)
8. สรุปบทเรียนโดยใช้เพลง หรือแข่งขันแต่งเพลงคณิตศาสตร์ อย่าลืมรางวัลแบบหอมปากหอมคอ (สรุปแนวคิด)
9. การจัดเข้าค่ายคณิตศาสตร์ อาจแบ่งเด็กออกเป็น 3 แบบ ดังนี้
(ก) แบบเฉพาะกลุ่มเด็กอัจฉริยะ สอนไม่ยากเลย
(ข) แบบคละเด็ก (เก่งปานกลางกับไม่เก่ง คละกัน) มักเกิดปัญหาในการสอน
(ค) แบบเฉพาะกลุ่มที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์เลย ต้องใช้เวลาการทำกิจกรรม ต้องคิดค้น หาสาเหตุ/จุดชอบให้พอ สุดท้ายต้องสรุปบทเรียน
10. หาวิธีเอาคณิตศาสตร์ไปใช้ในงานประจำ เช่นเอาคณิตศาสตร์สามเหลี่ยม วงกลมไปสร้างงานศิลป์ สำหรับคนชอบงานศิลป์แต่ไม่ค่อยชอบคณิตศาสตร์ (ประยุกต์ใช้งาน)
11. ลองเอาคณิตศาสตร์ไปใส่ในวิชาจริยธรรม เช่นไปซื้อของในตลาด แม่ค้าทอนเงินเกินมา จะทำอย่างไร ควรคืนแม่ค้า หรือรีบเก็บเอาไว้
เอา คณิตศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับความเชื่อ เมื่อมีคนมาเล่าให้ฟัง เช่นว่าเขาเดินจากบ้านมาถึงที่ทำงาน 10 นาที ระยะทาง 5กิโลเมตร จะเชื่อหรือไม่ (สร้างจริยธรรม)
12. เอาคณิตศาสตร์มาสร้างแนวคิด สอนวิธีการทำกระเบื้องให้ออกลวดลายกระเบื้อง ให้หลากหลาย แล้วสามารถต่อลายกันได้
ลองใช้คณิตศาสตร์คำนวณ ดูความคิดสร้างสรรค์ (ฝึกสมองสร้างปัญญา)
13. การใช้โครงงาน โดยให้นักเรียน 3 คน/โครงงาน ให้หัดคิดวางแผน ใช้กระบวนการกลุ่มหัดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น
โครงงานการเปรียบเทียบราคาสินค้าเต่ละห้าง โครงงานประหยัดไฟฟ้า (ทีมงานสร้างโครงการ)
14. ทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรม เช่น พาไปดูงานในสถาบันการเงิน ฝึกตัดสินใจวิธีการเลือกฝากธนาคาร การสอนตรีโกน ก็ให้ไปทดลองหาความสูงของเสาธงในโรงเรียน หรือของตึกอาคาร สอนเรื่องเมทริกซ์ ก็ใช้ชั้นวางหนังสือเป็นอุปกรณ์การสอน (สัมผัสได้)
15. วิชาสถิติ ก็ให้ไปนับลูกค้าเข้าร้านเซเว่นอีเลเว่น ในแต่ละชั่วโมงในแต่ละวันในหนึ่งสัปดาห์ ว่าเป็นอย่างไร ดูสถิติเพื่อทำนายลูกค้า
เอาไปทำในลักษณะโครงงาน อาจให้ผู้ปกครองช่วยด้วย ลองให้เด็กนักเรียนเอาถ้วยน้ำแข็งใสมาชั่งน้ำหนักแต่ดูความแตกต่าง (SD) ของน้ำหนัก (นำสู่ชีวิตธุรกิจ)
16. การทำให้เด็กมีความสุขในการเรียนคณิตศาสตร์มีดังนี้ (สนุกและง่าย)
(ก) การแปลงนามธรรม เป็นรูปธรรม เพื่อให้สัมผัสได้
(ข) การทำของยากให้เป็นของง่าย ไม่ต้องกลัวว่าจะสอนไม่ทัน ครูต้องคิดว่าตำราเป็นแค่แนวทาง เอาจุดประสงค์เป็นตัวตั้ง แล้วก็จะสอนทันเอง
17. ครูต้องการเด็กนักเรียนแบบไหนนั้น ครูไม่มีสิทธิเลือกลูกศิษย์ ใครที่ไม่มีทัศนคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์
ไม่ชอบวิชานี้อย่าพึ่งปฏิเสธ เด็กอ่อนคณิตไม่เป็นไร อยากได้คนตั้งใจมากกว่า (ใจเป็นใหญ่)
18. หลักสูตรใหม่นั้นทั้งผู้เรียนและผู้สอน ต้องมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น ต้องมีการวางแผนการเรียน สมมติว่ามี 7 วิชา
ครูกับนักเรียนประชุมกัน ไหนลองมาวางแผนร่วมกันว่าจะเรียนจะสอนวิชาอะไรก่อน (สร้างความพึงพอใจและการมีส่วนร่วม)
19. เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ ลองให้จัดทำกิจกรรมดู เช่นการแสดงละคร แล้วให้ลองประยุกต์วิชาต่างๆ มาใช้งานเช่นบัญชีรับจ่าย เงินที่เก็บจากค่าเข้าชม ใช้ศิลปะทำฉาก ใช้คณิตศาสตร์คำนวณกำไรขาดทุน ใช้วิทยาศาสตร์ในการเล่นละครเชิงเทคนิคแสง สี เสียงเป็นกิจกรรมบูรณาการสอนนักเรียน (สนุกแบบชีวิตงาน)
20. ทำให้มันง่าย เนื้อหาในหนังสือยุ่งยาก ซับซ้อน ทำอย่างไรจึงทำให้มันง่าย ครูต้องสอนให้เกิดความคิดรวบยอด วิธีจำสูตร เขียนสูตรทุกสูตร ตามประตู ตามฝาตู้เย็น มีทุกที่ เห็นทุกวันวิธีท่องสูตร ทำให้เป็นเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ เช่น นักเรียน ม.2 มี 2 โรงเรียน ทำสงครามกัน พบกันเมื่อไร ตีกันทันที นั่นคือ [2+]-[2-]=[0]ถ
21. โรงเรียนไม่มีเครื่องฉายแผ่นใส พูดอย่างเดียว จะน่าเบื่อ อาจจัดให้มีห้องพักนักเรียน เวลานักเรียนว่างก็เข้าไปในห้องนี้
เช่น เวลาสอนสูตรหาปริมาตรของปิรามิด V = (พื้นฐาน) (สูง) ก็ทำเป็นกล่องปิรามิดพับได้ พับไปพับมารูปปิรามิดกลายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่สูงเพียง ของความสูง นอกจากนี้อาจทำโมบายวาดภาพศิลป์ เพลง ผลงานจากโครงงาน สื่อการสอนที่เกี่ยวกับวิชาคณิตไว้ในห้องนี้ (สร้างรูปธรรม)
22. เด็กที่ไม่ชอบคณิตศาสตร์จริงๆ ครูต้องใช้วิธีการเป็นเพื่อนไปกินข้าวด้วยกัน ทำให้เขารักครูก่อน
อย่า สอนนาน สอนแพล็บเดียว (15 นาที) ก็ชวนไปห้องสมุด พูดเชียร์ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เพิ่มโจทย์ ให้กำลังใจหาโอกาสชมเชย อย่าพูดเปรียบเทียบกับคนอื่น
หากนักเรียนสอบคะแนนเพิ่มจาก 1 เป็น 2 คะแนนเต็ม 10 คะแนน ก็น่ายินดีแล้วกับการดีขึ้น (ทำให้เกิดฉันทะ)
23. ปัญหาเวลานักเรียนเข้าสอบวิชาคณิตแล้วอึ้งไปพักใหญ่ให้แก้ไขโดยฝึกทำแบบฝึกหัดหรือโจทย์เป็นประจำ
หาโจทย์มาทำซ้ำๆ เหมือนสอบตลอดเวลา จากง่ายไปยาก อ่านมากๆ ให้เคยชินกับการตีโจทย์คณิต (ทำให้เคยชิน)
24. พยายามหาสูตรลับ คณิตคิดลัด ของตนเองให้ได้ (รู้แจ้ง)
25. เวลาสอนให้สอนแบบสนุก ผิดถูกไม่ว่า วาดรูปลงไปก็ได้ สุดท้ายก็สรุปให้เขาฟัง (สอนสนุก)
26. สอนให้นักเรียนฟัง แต่เขาไม่เข้าใจ ให้ค่อยๆ อธิบายยกตัวอย่างมาประกอบเปรียบเทียบให้เห็นชัด (สอนคนเข้าใจยาก)
27. ปัญหาการเรียนสมัยใหม่ เรียนไม่ต่อเนื่องเชื่อมโยง เรียนไปเรียนมาแล้วกับมาที่เดิม อย่างนี้นักเรียนสับสน (การเชื่อมโยงเนื้อหา)
28. ปัญหาครอบครัวหย่าร้าง พ่อแม่เสียชีวิต เป็นปัญหาต่อการเรียน การสอน พยายามสอนให้นักเรียนว่าสิ่งนี้เป็นปัญหาของผู้ใหญ่
อย่ามานั่งทุกข์แทนผู้ใหญ่ แล้วจะเรียนไม่รู้เรื่อง ให้ตัดใจ แล้วมาเรียนดีกว่า ให้ปลอบใจ (สอนให้ไม่ทุกข์)
29. เรียนคณิตนานๆ จะรู้สึกเบื่อ ควรสลับเป็นเรื่องอื่นๆ เป็นระยะ ๆ (แก้เบื่อ)
30. ปัญหาฐานะการเงินของครอบครัว มีผลต่อการเรียน การให้งานนักเรียน แล้วต้องหาอุปกรณ์ ต้องใช้คอมพิวเตอร์
อย่างนี้พ่อแม่นักเรียนจนๆ เป็นปัญหาสนับสนุนแน่ๆ สร้างความเครียดให้นักเรียน (อย่าพึ่งเงินในการเรียนคณิตมากนัก)
31. นิสิต นักศึกษาที่ไม่กล้าถามอาจารย์ กลัวเพื่อนล้อเลียน ครูบางคนกลับมาต่อว่านักเรียนอีก ครูต้องเปิดใจ
บางคนเรียนแล้วลืมง่าย ให้ฝึกบ่อย ๆ ชินตา ชินมือ เห็นทุกวัน ทำซ้ำๆ ก็จะแก้ปัญหาได้ (ไม่กล้าและขี้ลืม แก้ไขได้)
32. ต้องปฏิรูปครูด้วย ทำอย่างไรครูจึงจะมีทักษะทำให้คณิตเป็นของง่าย เรียนแล้วสนุก ประยุกต์ใช้ในชีวิต คิดแล้วสบายใจ

หวังว่าแนวทางเรียนคณิตศาสตร์ให้สนุกนี้คงเป็นประโยชน์ต่อครู นักเรียน และประเทศชาติ นอกจากนี้ทักษะนี้อาจนำไปใช้กับวิชาอื่นๆ
หรือการนำไปใช้ในการทำงานให้เรียบง่ายสบายใจ (Easy & Enjoy) ได้ ในสถานที่ทำงานได้อีกด้วย

10 อันดับมหาวิทยาลัย แอดมิดชั่นปี 52



อันดับมหาิวิทยาลัย ที่มีผู้สมัครคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา
ประจำปีการศึกษา 2552 มากที่สุด 10 แห่ง

อันดับที่ 1 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (รวมทุกศูนย์)
มีผู้สมัครฯ 55102 คน ผ่านการคักเลือกฯ 9351 คน

อันดับที่ 2 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (รวมทุกศูนย์)
มีผู้สมัครฯ 29135 คน ผ่านการคักเลือกฯ 5848 คน

อันดับที่ 3 มหาวิทยาลัยบูรพา
มีผู้สมัครฯ 28819 คน ผ่านการคัดเลือก 4186 คน

อันดับที่ 4 มหาวิทยาลัยนเรศวร
มีผู้สมัครฯ 28288 คน ผ่านการคัดเลือกฯ 3483 คน

อันดับที่ 5 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มีผู้สมัครฯ 28132 คน ผ่านการคัดเลือกฯ 3567 คน

อันดับที่ 6 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มีผู้สมัครฯ 27350 คน ผ่านการคัดเลือกฯ 2319 คน

อันดับที่ 7 มหาวิทยาลัยศิลปากร (รวมทุกศูนย์)
มีผู้สมัครฯ 23614 คน ผ่านการคัดเลือกฯ 3105 คน

อันดับที่ 8 มหาวิทยาลัยขอนแก่น (รวมทุกศูนย์)
มีผู้สมัครฯ 23250 คน ผ่านการคัดเลือก 2839 คน

อันดับที่ 9 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มีผู้สมัครฯ 23734 คน ผ่านการคัดเลือกฯ 4885 คน

อันดับที่ 10 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รวมทุกศูนย์)
มีผู้สมัครฯ 21721 คน ผ่านการคัดเลือกฯ 3555 คน

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หมีแพนด้าออกลูกน่ารักมาก

หลินฮุ้ย ออกลูกที่สวนสัตว์เชียงใหม่

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เกมใหม่ล่าสุด


เชิญทดสอบความสามารถของคุณ ด้วยเกมสุดยอด ร้อนๆ จากเตา ถ้าคุณพลาดเสียดายแย่ ถ้าพร้อมเชิญ


คลิกที่รูปน้องมิ้น

แบบทดสอบความมีแววเป็นนักวิทยาศาสตร์


ถ้าคุณกล้าพอ ที่จะเผชิญกับความจริง กับสิ่งที่ท้าทาย ถ้าคุณแน่ เชิญคลิกที่รูปนักวิทย์น้อย

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

100 อันดับโรงเรียนในประเทศไทย ปี 52


1. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา 2. โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย 3. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ 4. โรงเรียนบดิทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 5. โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย 6. โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย จ.ลำปาง 7. โรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา 8. โรงเรียนสาธิต มศว.ปทุมวัน 9. โรงเรียนอัสสัมชัญ 10.โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ 11.โรงเรียนเซนต์คาเบรียล 12.โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จ.อุดรธานี 13.โรงเรียนสตรีวิทยา 14.โรงเรียนเทพศิรินทร์ 15.โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี 16.โรงเรียนสาธิต ม.เชียงใหม่ 17.โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย จ.เชียงใหม่ 18.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช 19.โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จ.เชียงราย 20.โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 21.โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ 22.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ 23.โรงเรียนนครสรรค์ 24.โรงเรียนหอวัง 25.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม 26.โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 27.โรงเรียนสุราษฎร์ธานี 28.โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน จ.ขอนแก่น 29.โรงเรียนสตรีวิทยา 2 30.โรงเรียนพิริยาลัย จ.แพร่ 31.โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย 32.โรงเรียนสาธิต ม.ขอนแก่น 33.โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จ.เพรชบุรี 34.โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย 35.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.ตรัง 36.โรงเรียนสาธิต ม.สงขลานครินทร์ จ.ปัตตานี 37.โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว 38.โรงเรียนโยธินบูรณะ 39.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.ราชบุรี 40.โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย 41.โรงเรียนจักรคำคณาทร จ.ลำพูน 42.โรงเรียนนารีรัตน์ จ.แพร่ 43.โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา 44.โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จ.นนทบุรี 45.โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จ.ขอนแก่น 46.โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา 47.โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จ.ยะลา 48.โรงเรียนศึกษานารี 49.โรงเรียนเฉลิมขวัญสตรี จ.พิษณุโลก 50.โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร51.โรงเรียนสตรีศรีน่าน จ.น่าน 52.โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย จ.ร้อยเอ็ด 53.โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย จ.ลพบุรี 54.โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ 55.โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา 56.โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม จ.บุรีรัมย์ 57.โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการ 58.โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์ 59.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.สตูล 60.โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ 61.โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล 62.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี 2 ) 63.โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย 64.โรงเรียนชลราษฎร์อำรุง 65.โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่ 66.โรงเรียนพัทลุง 67.โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม 68.โรงเรียนลำปางกัลยาณี จ.ลำปาง 69.โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย 70.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ บดินทรเดชา (บดินทรเดชา 3 ) 71.โรงเรียนสุรวิทยาคาร จ.สุรินทร์ 72.โรงเรียนเซนต์โยแซฟคอนแวนต์ 73.โรงเรียนบูรณะรำลึก จ.ตรัง 74.โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม 75.โรงเรียนสารคามวิทยาคม จ.มหาสารคาม 76.โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี 77.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า 78.โรงเรียนระยองวิทยาคม 79.โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี 80.โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม 81.โรงเรียนทวีธาภิเศก 82.โรงเรียนชลกันยานุกูล 83.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎนครปฐม 84.โรงเรียนมารีย์วิทยา จ.นครราชสีมา 85.โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย 86.โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จ.มุกดาหาร 87.โรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม 88.โรงเรียนสายน้ำผึ้ง 89.โรงเรียนเบญจมราชาลัย 90.โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีรรมราช 91.โรงเรียนสาธิต ม.ราชภัฎพระนครศรีอยุธยา 92.โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี 93.โรงเรียนศรียาภัย จ.ชุมพร 94.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ หอวัง นนทบุรี 95.โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี 96.โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 97.โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช 98.โรงเรียนสาธิต(พิบูลบำเพ็ญ) ม.บูรพา 99.โรงเรียนวิสุทธังษี จ.กาญจนบุรี 100.โรงเรียนนวมินทราชูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า